วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องพันธุ์ไม้ในร่ม

1. นายจำลอง เพ็งคล้าย  นักพฤกษศาสตร์อาวุโส
2. นางก่องกานดา ชยามฤต  นักพฤกษศาสตร์อาวุโส
3. นายราชันย์ ภู่มา  นักวิชาการป่าไม้ชำนาญการพิเศษ
4. นายสมราน สุดดี  นักวิทยาศาสตร์ชำนาญการพิเศษ
5. นายวรดลต์ แจ่มจำรูญ  นักวิชาการป่าไม้ชำนาญการ
6. นายทนงศักดิ์ จงอนุรักษ์  นักวิชาการป่าไม้ชำนาญการ
7. น.ส.นันท์นภัส ภัทรหิรัญไตรสิน  นักวิชาการป่าไม้ชำนาญการ





ธุรกิจที่เกี่ยวกับพันธุ์ไม้ในร่ม

มีดังต่อไปนี้
          1.ร้านขายต้นไม้
          2.แหล่งเพาะพันธุ์ไม้
          3.ร้านขาย - ปลีกพันธุ์ไม้ชนิดต่างๆ
          4.ธุรกิจใหญ่ที่ส่งพันธุ์ไม้ส่งออกต่างประเทศ








แหล่งเรียนรู้พันธุ์ไม้ในประเทศไทย

มีดังนี้
           1. หอพรรณไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
ความเป็นมา
          การเก็บและสำรวจพรรณไม้ของประเทศไทยเริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2449 หลังจากตั้งกรมป่าไม้
ได้ 10 ปี โดยมีนาย  H. B. G. Garrett นักการป่าไม้ชาวอังกฤษเป็นผู้รับผิดชอบ ต่อมาเริ่มมี
เจ้าหน้าที่ของหอพรรณไม้ ออกทำการสำรวจและเก็บตัวอย่างร่วมด้วย จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2473 
หอพรรณไม้ได้จัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการเพื่อเก็บรักษาตัวอย่างพรรณไม้ที่ได้จากการสำรวจ 
จนถึงปัจจุบันมีจำนวนตัวอย่างพรรณไม้กว่า 200,000 ชิ้น ซึ่งมากที่สุดในประเทศไทย
 ต่อมาในปี พ.ศ.  2546 มีการปรับโครงสร้างราชการ ทำให้งานกลุ่มพฤกษศาสตร์ป่าไม้โอนย้าย
มาอยู่ในสังกัดกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช ตามการแบ่งส่วนราชการใหม่ และได้รับ
การปรับสถานะจากกลุ่มงานพฤกษศาสตร์ป่าไม้ เป็นสำนักหอพรรณไม้ ตามคำสั่งกรมอุทยาน
แห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ลงวันที่ 22 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2548 และในปัจจุบันได้
เปลี่ยนชื่อเป็นสำนักงานหอพรรณไม้ ภายใต้สังกัดสำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช 
เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2550 ด้วยสำนักงานหอพรรณไม้ เป็นหอพรรณไม้ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย 
มีสวนพฤกษศาสตร์และสวนรุกขชาติในสังกัดอีก 71 แห่ง มีหน้าที่สำรวจและเก็บรวบรวมพรรณไม้
ในท้องถิ่นต่างๆ ทั่วประเทศ ไว้ในรูปแบบต่างๆ อย่างเป็นระบบสากล เช่น พรรณไม้แห้ง 
พรรณไม้ดอง พรรณไม้ต้นแบบ และตัวอย่างส่วนต่างๆ ของพรรณไม้ พร้อมจัดทำฐานข้อมูล
ไว้สืบค้น เพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้ บริการและแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านพรรณพืชทั้งในประเทศ
และต่างประเทศ เป็นหน่วยงานที่สร้างคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศในด้านการอนุรักษ์ทรัพยากร
ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การศึกษาวิจัย บริการวิชาการ และนันทนาการ จึงได้รับการคัดเลือก
ให้เป็นหน่วยงานดีเด่นของชาติ สาขาอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประจำพุทธศักราช 2550 โดยคณะอนุกรรมการคัดเลือกและเผยแพร่ผลงานดีเด่นของชาติ ในคณะกรรมการเอกลักษณ์
ของชาติ สำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ 
ในปี พ.ศ. 2555 ในส่วนของตัวหอพรรณไม้ ยังได้รับการยกย่องว่าเป็นแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตต้นแบบ รุ่นที่ 2 ของสำนักเลขาธิการสภาการศึกษา





          

          2.สยามกรีนสกายหรือสวนเกษตรลอยฟ้ากลางสยามสแควร์
          “สยามกรีนสกาย” ถูกเนรมิตขึ้นมาให้กลายเป็นหลังคาเขียวใจกลางเมืองบนชั้น 7 อาคารสยามสแควร์วันที่มุ่งหวังจะเป็นทั้งที่พักผ่อนหย่อนใจ บรรเทาปัญหาปรากฎการณ์เกาะร้อนในเมือง 
หรือเพียงสร้างพื้นที่ผลิตอาหารบนหลังคาเท่านั้น แต่สถานที่แห่งนี้กำลังจะเป็นแหล่งเรียนรู้
เกี่ยวกับเกษตรกรรมเมืองและเป็นเสมือนสถานที่เล็กๆที่จะจุดประกายให้คนเมืองหันมาสนใจ
การปลูกผักกินเองได้บ้างเมื่อเร็วๆ นี้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดตัวศูนย์เรียนรู้เกษตรกรรมเมือง 
ที่ชื่อว่า สยามกรีนสกาย ซึ่งถือเป็นสวนลอยฟ้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยขึ้น ณ ลานเชื่อม
ต่อบีทีเอส สยามสแควร์วัน กรุงเทพฯ รองศาสตราจารย์ นาวาอากาศเอก นายแพทย์เพิ่มยศ โกศลพันธุ์ รองอธิการบดี จุฬาฯบอกเล่าถึงที่มาที่ไปของโครงการสยามกรีนสกาย ให้ฟังว่า สยามกรีนสกาย 
เกิดขึ้นจากความตั้งใจและต้องการให้เป็นโครงการต้นแบบเพื่อให้หน่วยงานภาครัฐ เอกชน 
และสถาบันต่างๆ ได้มาเรียนรู้และศึกษา เพื่อนำไปประยุกต์ปรับใช้ให้เหมาะกับอาคารและสถานที่
ของตนเอง โดยนักวิชาการ อาจารย์ และบุคลากร มีความยินดีที่จะถ่ายทอดและแบ่งปันองค์ความรู้
ดังกล่าวให้แก่ผู้ที่สนใจอย่างเต็มที่สยามกรีนสกาย เกิดขึ้นจากความร่วมมือของภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ สำนักวิชาทรัพยากรการเกษตร ภาควิชาภูมิสถาปัตยกรรมคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ และสำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาฯ ที่ร่วมกันบริหารจัดการและก่อสร้างบนหลังคาของสยามสแควร์
วัน ขนาด 2,000 ตารางเมตรภายใต้งบประมาณที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยต้นทุนเพียง 3,500 บาทต่อตารางเมตรเท่านั้น 




วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2558

การดูเเลรักษาพันธุ์ไม้ในร่ม

มีลำดับขั้นตอนดังนี้
          1. กำหนดวัตถุประสงค์ที่จะปลูก
           
ในกรณีที่พื้นที่เตรียมการปลูกเป็นดินเหนียวจัด ควรเอาน้ำรดให้ชุ่มเสียก่อนเพื่อให้ขุดง่ายเบาแรงขึ้นดินที่ขุดขึ้นควรใช้ปูนขาว หรือ สารเคมีปรับปรุงดินบางชนิด เช่น โดโรไมค์ ผสมกับทราย
และปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักคลุกเคล้ากับเนื้อดินตากแดดทิ้งไว้นานประมาณ 1-2 สัปดาห์ รดน้ำเป็นระยะพร้อมกับพรวนดินตามสมควร จะทำให้ดินร่วนและดีขึ้น สำหรับพื้นที่ที่ดินเป็นดินปนทรายมากการปรับปรุงดินจำเป็นต้องใส่ปูนขาวและปุ๋ยคอก เพื่อทำให้ดินจับเป็นก้อนแน่นอุ้มน้ำและมีอาหารพืช
มากขึ้น

          2. สำรวจพื้นที่เพื่อกำหนดเป็นที่ปลูก และคัดเลือกชนิดพันธุ์ไม้ที่จะปลูก 
          เมื่อผู้ปลูกได้ตัดสินใจกำหนดวัตถุประสงค์ของการปลูกต้นไม้ไว้เรียบร้อยแล้ว สิ่งที่จำเป็น
ต้องกระทำต่อไปคือ การกำหนดพื้นที่เพื่อให้มีความเหมาะสมกับชนิดพันธุ์ไม้ที่เลือกปลูก หากเลือกพื้นที่ปลูกไม่สอดคล้องกับชนิดพันธุ์ไม้ที่ปลูกจะทำให้ได้ประโยชน์ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ 
โดยทั่วไปแล้วมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องนำมาประกอบการพิจารณาดังนี้ 
        ปัจจัยแรกเกี่ยวกับลักษณะของดิน ผู้ปลูกควรพิจารณาสภาพของดินว่ามีความอุดมสมบูรณ์
หรือลักษณะดินเป็นดินประเภทใด มีสภาพความเป็นกรดหรือเป็นด่างอย่างไร เป็นดินเหนียว ดินร่วน 
หรือดินร่วนปนทราย มีการระบายน้ำได้ดีหรือไม่เพียงใด พื้นที่เป็นที่ราบลุ่มหรือมีความลาดเอียง 
ใกล้ไกลแหล่งน้ำเหมาะสมกับพันธุ์ไม้ชนิดใด นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงสภาพดินฟ้าอากาศ
ประกอบอีกด้วย ประการต่อมาต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมพื้นที่ที่จะกำหนดปลูกว่ามีสภาพเป็นอย่างไร 
ต้องให้มีความปลอดภัยกับต้นไม้ และปัจจัยสุดท้ายคือ การกำหนดระยะปลูก
ผู้ปลูกจะต้องกำหนดระยะปลูกระหว่างต้นไม้ให้มีความเหมาะสมกับชนิดและขนาดของต้นไม้ที่จะปลูก 

          3. การเตรียมพื้นที่ปลูก        การเตรียมดินเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งของการปลูกต้นไม้ และจะให้ได้ผลดีจะต้องมี
การเตรียมการล่วงหน้าพอสมควร ปรับระดับพื้นที่ให้ได้ตามต้องการเสียก่อน และเพื่อความสวยงาม
เป็นระเบียบเรียบร้อย ผู้ปลูกควรได้กำหนดแผนผังการปลูกต้นไม้ไว้ก่อน ขั้นตอนต่อไปเป็นเรื่องปกติ
ไม่ว่าดินจะเป็นดินชนิดใดหรือมีทำเลเป็นอย่างไร จะต้องทำการขุดหลุม
          4. จัดหาอุปกรณ์และเตรียมวัสดุสำหรับใช้ปลูกต้นไม้
                 1. อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ในการปลูกต้นไม้ ควรจัดหาและเตรียมให้พร้อมเพื่อ
                     ความสะดวกใน การปลูกต้นไม้ มีจอบ เสียม พลั่วตักดิน บุ้งกี๋ ตลอดจนยานพาหนะ
                     ลำเลียงขนส่งกล้าไม้ไปยังจุดที่เตรียมหลุมปลูก
                 2. หน้าดินผสมสำหรับกลบหลุมปลูก ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก สำหรับรองก้นหลุม ตลอดจน
                      สารอุ้มน้ำ(ถ้ามี) และใช้ในกรณีปลูกก่อนหรือหลังฤดูฝน
                 3. หลักค้ำยัน ยึดต้นไม้ กันลมพัดโยกและช่วยในการทรงตัวของต้นไม้ให้ตั้งตรง 
                     เชือกสำหรับผูกยึดต้นไม้กับหลัก 

          5. การปลูก
        ต้นไม้ที่นำมาปลูกส่วนใหญ่มักจะบรรจุในถุงพลาสติกให้ใช้มีดกรีดถุงออก ควรระวังคือ อย่าให้
รากของต้นไม้ได้รับความกระทบกระเทือนมากนัก เสร็จแล้ววางต้นไม้ลงในหลุมที่ขุดให้ระดับรอยต่อระหว่างลำต้นกับรากอยู่เสมอกับระดับขอบหลุม แล้วกลบหลุมด้วยดินผสมที่เตรียมไว้สำหรับปลูก
หรือใช้ดินที่ขุดขึ้นจากหลุมที่เป็นดินร่วนปนทราย หรือดินที่มีความร่วนซุยดี อย่าใช้ดินเหนียวที่แน่น
หรือดินที่มีกรวดหินมาก ๆ กลบหลุม เพราะจะเป็นปัญหาทำให้รากต้นไม้เจริญเติบโตได้ไม่ดี 
เมื่อกลบหลุมเสร็จแล้วใช้เท้าเหยียบดินให้แน่นพอประมาณ นำเศษใบไม้หญ้าหรือฟางมาคลุมรอบ
โคนต้นเพื่อรักษาความชื้นและป้องกันการกัดเซาะของน้ำในขณะรดน้ำต้นไม้ หาไม้หลักซึ่งมีความสูงมากกว่าต้นไม้พอประมาณมาปักข้าง ๆ ผูกเชือกยึดกับต้นไม้อย่างหลวม ๆ เพื่อช่วยในการทรงตัวของต้นไม้และป้องกันลมพัดโยก เมื่อปลูกเสร็จรดน้ำให้ชุ่มและถ้าเป็นไปได้ควรรดน้ำวันละครั้ง จนต้นไม้
ตั้งตัวได้ กรณีที่ปลูกเป็นพื้นที่มากๆ ควรปลูกในช่วงฤดูฝน ขณะฝนตกหรือหลังฝนตกใหม่ ๆ 
เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในการรดน้ำต้นไม้ ภายหลังการปลูกต้นไม้โดยปกติควรรดน้ำติดต่อกันทุกวัน
ในเวลาเย็นอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง ตลอด 1 สัปดาห์ การรดน้ำควรรดน้ำให้ชุ่ม ถ้าต้องการทราบว่า
ได้รดน้ำเพียงพอแล้วหรือไม่ ให้ทดลองขุดดินดูว่าน้ำซึมลงไปถึงบริเวณรากต้นไม้หรือยัง 
ถ้ารดน้ำน้อยไปน้ำจะซึมลงไปไม่ถึงบริเวณรากต้นไม้   การพรวนดินใส่ปุ๋ยและการกำจัดวัชพืช  
วัชพืชเป็นตัวการที่ทำให้ต้นไม้เจริญเติบโตช้า ควรมีการกำจัดวัชพืชโดยการถากถาง และพรวนดิน
รอบโคนต้นไม้ในรัศมี 1 เมตร ปีละ 2 ครั้ง ในขณะพรวนดินถ้ามีปุ๋ยวิทยาศาสตร์จะโรยรอบ ๆ โคนต้นประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ แล้วรดน้ำหรือใส่ปุ๋ยคอกเพิ่มเติมก็ได้

          6.  การดูแลบำรุงรักษา

       
 หลังจากได้ปลูกต้นไม้แล้วผู้ปลูกควรคำนึงถึงอันตรายที่อาจจะเกิดกับต้นไม้ในระยะเริ่มแรกที่มีขนาดเล็กยังตั้งตัวไม่ได้ เช่น อันตรายจากสัตว์เลี้ยง ยานพาหนะต่าง ๆ หากปลูกจำนวนน้อยอาจ
ทำคอกป้องกันหรืออาจทำรั้วกั้นเป็นแนวไว้ได้ สำหรับต้นไม้บางชนิดที่ต้องการความเอาใจใส่มาก
ตั้งตัวได้ยากควรจะมีการบังแดดให้ในระยะที่ตั้งตัวไม่ได้ อย่างไรก็ตามการปลูกต้นไม้ให้สามารถ
เจริญเติบโตได้ดีจำเป็นต้องได้รับการเอาใจใส่ดูแลบำรุงรักษาที่ดีจากผู้ปลูกมากพอสมควร 

        - ภายหลังการปลูกต้นไม้โดยปกติควรรดน้ำติดต่อกันทุกวันในเวลาเย็นอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง ตลอด 1 สัปดาห์ หลังจากนั้นอาจให้ลดลงเป็นวันเว้นวัน หรือ 2 วัน ครั้งจนสังเกตเห็นต้นไม้ตั้งตัว
ได้การพรวนดินใส่ปุ๋ยและการกำจัดวัชพืช วัชพืชเป็นตัวการที่ทำให้ต้นไม้เจริญเติบโตช้าควรมี
การกำจัดวัชพืชโดยการ ถากถาง และพรวนดินรอบโคนต้นไม้ในรัศมี 1 เมตร ปีละ 2 ครั้ง ในขณะ
พรวนดินถ้ามีปุ๋ยวิทยาศาสตร์จะโรยรอบ ๆ โคนต้นประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ แล้วรดน้ำหรือใส่ปุ๋ยคอก
เพิ่มเติมก็ได้

        การตรวจดูแลต้นไม้และฉีดยาป้องกันกำจัดโรคและแมลง ตลอดจนระวังไฟ โดยปกติต้นไม้
เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกับมนุษย์ย่อมถูกแมลง โรค เห็ด รา รบกวนเป็นธรรมดา การเจริญเติบโตของ
ต้นไม้โดยธรรมชาติมีความแข็งแรงอยู่ในตัวพอสามารถสู้ต้านทานกับโรค แมลงและเห็ดราต่าง ๆ
 ได้ดีพอสมควร หากผู้ปลูกช่วยบำรุงรักษาต้นไม้ให้ถูกวิธี ต้นไม้จะเจริญเติบโตได้รวดเร็วมี
ความสมบูรณ์เพียงพอที่จะต่อต้านอันตรายจากสิ่งเหล่านี้ได้ในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะการหมั่น
ตรวจตราดูแลโรค แมลงที่เกิดกับต้นไม้ และใช้ยาฉีดกำจัดได้ทันเหตุการณ์ในกรณีที่ปลูกเป็น
แปลงใหญ่ ๆ จะต้องมีการระวังไฟ ควรมีการแผ้วถางวัชพืชปีละ 2 ครั้งเป็นอย่างน้อย และทำ
แนวป้องกันไฟล้อมรอบ ถ้าหากปลูกเป็นแนวยาว เช่น ตามแนวถนนต้องกำจัดวัชพืชที่จะเป็น
เชื้อเพลิงในช่วงปลายฤดูฝน หรือก่อนเข้าฤดูแล้งตลอดแนวทาง การดูแลบำรุงรักษาต้นไม้อย่าง
เอาใจใส่ และการปลูกต้นไม้จะสำเร็จหรือไม่ก็อยู่ที่การป้องกันให้ต้นไม้พ้นจากอันตรายจากไฟ
และอันตรายจากสิ่งแวดล้อมทั้งปวง








ข้อเสียของพันธุ์ไม้ในร่ม

มีดังนี้
          1.ใบไม้ร่วงทำให้บริเวณนั้นรก
          2.ต้องมีเวลาว่างในการดูเเลเอาใจใส่
          3.ถ้าปลูกในบ้านเมื่อเวลาตอนกลางคืนต้นไม้จะคายก๊าสคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา
          4.ต้องคอยระวังเเละกำจัดศัตรูพืชเเละวัชพืช
          5. สามรถเป็นที่หลบซ่อนของสัตว์มีพิษได้ เช่น ตะขาบ  งู  เเมลงป่อง ฯลฯ





ข้อดีของพันธุ์ไม้ในร่ม

มีดังนี้
         1.ต้นไม้จะ ช่วยคายออกซิเจนในช่วงกลางวัน ทำให้เราได้อากาศบริสุทธิ์ ซึ่งการได้
สูดอากาศบริสุทธิ์ มีผลดีต่อสุขภาพ ของเรา
         2. ช่วยดูดซับก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นตัวการให้เกิดภาวะเรือนกระจก 
ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน
         3. เป็นร่มเงา บังแสงแดด ให้เกิดความร่มรื่น
         4. เป็นที่อยู่ อาศัยของสัตว์ป่า
         5. พืช ผล สามารถนำมารับประทานเป็นอาหาร หรือ ยารักษาโรคได้
         6. เป็นแหล่งต้นน้ำ ลำธาร เนื่องจากที่บริเวณราก ที่ดูดซับน้ำ และ แร่ธาตุ 
เป็นการกักก็บน้ำไว้บริเวณผิวดิน
         7. บริเวณรากของต้นไม้ ที่ยึดผิวดิน ทำให้เกิดความแข็งแรงของบริเวณผิวดินป้องกัน
การพังทลายจากดินถล่ม เนื่องจากมีรากเป็นส่วนยึดผิวดินอยู่ ตัวอย่างที่เห็นเด่นชัด คือ การสาธิต 
การนำหญ้าแฝกมาประยุกต์ ป้องกันการพังทลาย ของหน้าดิน ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ซึ่งเป็นพระปรีชา สามารถของพระมหากษัตริย์ ประเทศของเรา
         8. เป็นแนวป้องกัน การเกิดน้ำท่วม เนื่องจาก เมื่อเกิดสภาพที่น้ำเกินสมดุล ท่วมลงมาจาก
ยอดเขา จะมีแนวป่า ต้นไม้ ช่วยชะลอความแรง จากเหตุการณ์น้ำท่วม







วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ประโยชน์ของพันธุ์ไม้ในร่ม


มีดังต่อไปนี้
          
          1) หมากเหลือง หรือ ปาล์มไผ่คายความชื้นให้แก่อากาศในห้องเป็นจำนวนมาก แต่สามารถดูดมลพิษหลายชนิด และป้องกันฝุ่นละอองได้ดีโดยเฉพาะสารพิษพวกฟอร์มัลดีไฮด์




          2)วาสนาราชินี และวาสนาอธิษฐานมีประสิทธิภาพดูดสารฟอร์มัลดีไฮด์ 
และไตรคลอโร ส่วนวาสนาอธิษฐานสามารถดูดสารพิษฟอร์มัลดิไฮด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย เป็นไม้มงคลโบราณเชื่อว่าปลูกไว้ในบ้านจะทำให้เกิดความสุข สมหวังในชีวิต




          3)สาวน้อยประแป้ง หรือ สโนว์ดรอป สามารถดูดสารพิษหลายชนิดขยายพันธุ์โดยการแยกหน่อ 
หรือปักชำ




          4)กวักมรกต เป็นไม้ประดับที่ช่วยกรองอากาศและช่วยดูดสารพิษ ขยายพันธุ์โดยการแยกหน่อ
และปักชำ




          5) ลิ้นมังกร ช่วยดูดสารพิษเบนซินในอากาศช่วยฟอกอากาศได้ดีอีกด้วย ลำต้นใต้ดินใบสวย
มีลักษณะยาวมัน ขอบใบมีสีเหลืองตรงกลางใบสีเขียวอ่อน